เราสามารถทำตามความต้องการ ตามวิสัยทัศน์ได้ด้วยการเอาใจจดจ่อ เพราะ It’s all about energy ทุกอย่างมันเป็นเรื่องของพลังงาน อ้างอิงถึงไอน์สไตน์ที่บอกว่าสสารทั้งหมดเป็นพลังงาน ฉะนั้นเราได้อยู่ในโลกเต็มไปด้วยพลังงาน จักรวาลที่มีพลังและทุกสิ่งทุกอย่างมันเกี่ยวข้องกันเป็นพลังงานไปหมด
ให้เราลองนึกว่าสิ่งที่อยู่บนโลกหรือจักรวาลใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นคน ไม่ว่าจะเป็นอาหาร คนบางคน อาหารบางอย่าง คนบางคนเมื่อเราพูดด้วย หรืออาหารบางอย่างเมื่อเรารับประทานเข้าไปเราจะรู้สึกว่าดีมีพลังบวก ในขณะที่คนบางคน หรืออาหารบางประเภท คนบางคนเมื่อพูดด้วย หรืออาหารบางอย่างเมื่อกินเข้าไปแล้วจะทำให้เรารู้สึกว่าหมดแรง ไม่มีพลัง
ในเรื่องของการทำงานก็เหมือนกัน งานบางชิ้นหรือกิจกรรมบางชนิด ที่เราเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย บางเรื่องทำไปแล้วเกิดพลังใจ มันมีพลังงานที่ดีเกิดขึ้น ในขณะที่งานบางอย่าง ไม่ได้เหนื่อยกายด้วยซ้ำไป แต่เหนื่อยใจ ทำให้เราหมดพลังกาย ตัวอย่างที่พูดมานี้ ให้เราลองไปคิดดูว่า เราสร้างรู้สึก เชื่อมโยงความสัมพันธ์อย่างไรในเรื่องของพลังงานกับกิจกรรมกับงานที่เราทำ
ความคิดของเรา คือพลังงานที่เหมือนจะมองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ วัดไม่ได้ แต่ว่ามันเป็นสิ่งที่ทรงพลังมากดังนั้นเรื่องความคิด ให้ระมัดระวังและก็ให้ใจจดจ่อมากที่สุด โดยเฉพาะ 3 คำถามที่ถามไว้จากรอบที่แล้ว ก็คือถ้าเราไม่รู้ว่าเราจะไปไหน ไม่มีการวางแผน ไม่มีเป้าหมาย จะทำให้สูญเสียพลังงาน ไปโดยใช่เหตุ
ในเรื่องของพลังงานเราอาจจะบ่น และเราอาจจะ ไม่พอใจในหลายๆสิ่ง ความเบื่อ การบ่นและความไม่พอใจ ก็ไม่ได้เลวร้ายเสียทีเดียว ในการฝึกมองมุมกลับก็คือว่า ถ้าเรารู้ในสิ่งที่เราไม่ต้องการ รู้ในบางสิ่งที่เราทำแล้วรู้สึกว่าเหนื่อย การรู้ว่าเราไม่ชอบอะไร จะเป็นตัวช่วยที่ทำให้เรา ได้เห็นตัวเองชัดขึ้น โดยกลับมาถามตัวเองว่า แล้วอะไรคือสิ่งที่เราชอบ คือสิ่งที่เราต้องการ และทำแล้วทำให้เรารู้สึกดีและสนุก
การฝึกคิดพลังบวกนี้ก็คือว่า ถ้าเจอปัญหามันก็ต้องมีทางออก ถ้าเจออุปสรรคมันก็ต้องมีโอกาส ในทุกปัญหามันจะทำให้เราเกิดความแข็งแกร่งขึ้น ทำให้เราต้องคิดหาทางออก ทำให้เราฉลาดขึ้น
ดังคำที่ว่า Every crisis offer an opportunities to grow stronger and wiser กล่าวคือ ทุกๆเหตุการณ์ที่มันร้ายแรงหรือปัญหา อุปสรรคที่เกิดขึ้น มองให้เป็นโอกาสที่ทำให้เราเข้มแข็งขึ้นและฉลาดขึ้นนั่นเอง
อีกคำหนึ่งที่น่าสนใจคือ Law of Attraction หรือกฎของแรงดึงดูดนั่นเอง ซึ่งกฎนี้ได้มีการเขียนและพูดไว้ในหนังสือเกี่ยวกันการพัฒนาตนเองหลายเล่มเหมือนกัน ถือว่าเป็นกฎที่จริง และยังใช้ได้ตลอดกาล ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเอาไปประยุกต์ใช้ยังไง ในเรื่องของกฎแรงดึงดูดก็คือว่า เมื่อเราคิดถึงอะไรตลอดเวลา เราก็มักจะเห็นเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ
ยกตัวอย่างเช่นถ้าเราคิดเกี่ยวกับเรื่องของการพัฒนาตัวเอง เราจะเจริญเติบโต เราจะคบหาคนใหม่ เราจะมีพลังในชีวิต เพราะเราเริ่มแค่คิดตรงนี้ เราก็จะเริ่มผันตัวเองด้วยการนำพาตัวเองไป ทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัวนะคะคือไปเจอกับคนเหล่านั้น ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เรากำลังสนใจ กำลังอยากพัฒนาพอดี พลังงานที่เราส่งออกไปสู่จักรวาล ก็จะเป็นพลังงานที่เราได้รับกลับคืนมาเช่นกัน ฉะนั้นเมื่อเราคิดดีคิดบวก สิ่งดีๆ สิ่งบวกก็จะเข้ามา
ก่อนหน้านี้เราพูดถึงว่าถ้าเรารู้ว่า เราไม่ชอบอะไรก็ถือว่าเป็นตัวช่วยที่ดีระดับหนึ่ง แต่แทนที่จะไปจดจ่อกับสิ่งที่เราไม่ชอบ ให้มาจดจ่อกับสิ่งที่เราอยากได้ เราชอบ ไม่ควรจะเสียพลังงานความคิดไปกับในเรื่องที่เราไม่ต้องการ ไม่อยากมี ไม่อยากได้ ไม่อยากเป็น ความมุ่งหวัง วิสัยทัศน์ เป้าหมายที่เราตั้งไว้ ถ้าเราเอาใจจดจ่อ จะทำให้เราขยับไปใกล้เป้าหมายมากขึ้น ใกล้ความฝันของเรามากขึ้นนั่นเอง เป็นการย้ำเตือนว่า ถ้าเราจะทำอะไรขึ้นมาสักอย่าง ต้องมีการวางแผน มองให้เห็นเป้าหมายสุดท้าย เราจะได้ไม่เสียพลังงานไปโดยใช่เหตุ
เมื่อเราเริ่มใช้พลังงานให้เกิดประโยชน์มีความจดจ่อ มีเป้าหมายที่ชัดเจนแล้ว จะทำให้เรามองเห็นภาพชัดเจน คำสุดท้ายที่สำคัญสำหรับตอนนี้คือการลงมือกระทำ Take action สำคัญที่สุดที่เราต้องตัดสินใจ ทำให้ตรงตามภาพที่เราต้องการ ความสำเร็จก็จะมาแน่นอน
ลงมือทำขั้นแรกไม่ได้แปลว่าต้องลงมือทำแบบกายภาพนะคะ ลงมือทำคือการเริ่มจากการคิด การตัดสินใจ ว่าสิ่งที่เราต้องการ สิ่งที่เรามองเห็นคืออะไร แล้วตั้งใจจดจ่อกันนะคะ
Comments