รอบที่แล้วเราได้พูดถึงเรื่องของภาพรวมของหนังสือ และวิธีในการนำเสนอเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้ ซึ่งมีทั้งหมด 34 ตอน แต่เพื่อเป็นการง่ายต่อการนำเสนอ เราจะนำรูปแบบการสรุปของกฎ 10 ข้อมาเป็นตัวตั้ง ไล่ไปทีละข้อกันเลยนะคะ
Rule #1 You’re the Driver of Your Bus เพราะเราเป็นเจ้าของรถบัส เราสามารถกำหนดกฏเก
ณฑ์ และกำหนดว่าเราจะไปไหนได้
กฎการใช้ชีวิตเชิงบวกข้อที่หนึ่ง เริ่มต้นด้วยการเล่าเรื่องราวของคุณ Gorge ที่ต้องประสบกับปัญหารถยางแบน ทำให้ไม่มีรถขับไปทำงาน จริงๆ เขาได้ขอร้องให้คุณภรรยาไปส่งแต่ก็ด้วยมีปัญหาขัดแย้งกันอยู่แล้ว ภรรยาก็เลยไม่ไปส่ง ทำให้เขาต้องไปขึ้นรถบัสไปทำงาน ตอนแรกเขาก็คิดว่าจะได้รถกลับมาใช้เร็วและกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิม ต่อมาเรื่องก็ดำเนินไปว่า เมื่อเขาไปถามความคืบหน้าเกี่ยวกับรถก็ปรากฎว่า ไม่เพียงแต่รถยางแตกอย่างเดี่ยว แต่ช่างที่ทำรถแจ้งว่าเบรกยังเสียด้วย ฉะนั้นจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 อาทิตย์
ในวันนั้นเองเขาก็เลยตัดสินใจเดินกลับบ้าน ซึ่งเป็นช่วงที่เขาได้มีโอกาสในการคิดทบทวนเรื่องราวในชีวิตของเขา เพราะว่าชีวิตของเขาตอนนี้นั้นมีปัญหาทั้งที่ทำงานและก็ที่บ้าน ในส่วนของเรื่องที่ทำงาน ก็คือเขาเป็นคนที่ค่อนข้างจะลบ ทำให้เกิดปัญหาเยอะแยะมากมายกับผู้ร่วมงาน และกับหัวหน้างานด้วย ส่วนที่บ้านนั้นก็เป็นปัญหากับภรรยาของเขา มีเรื่องไม่ลงรอยกัน ก็มีความขัดแย้งกันไปหมด เขาก็เลยได้คิดเรื่องนี้
ในระหว่างนี้เขาก็หวนไปนึกถึงวันหนึ่งที่เขาไปขึ้นรถบัส ในวันที่คุุณ Joy ซึ่งคนขับประจำของรถบัสที่เขาขึ้นนั้นไม่อยู่ ทำให้เขาได้คิดว่ามีบางอย่างที่เปลี่ยนไป นั่นคือเขารับรู้ได้ถึงพลังงาน ที่แตกต่างของคนขับรถคนใหม่ เมื่อเปรียบเทียบกับพลังงานของ คุุณ Joy เป็นการสะท้อนให้เห็นนะคะว่าคนเหมือนกันแต่มีพลังงานนั้นให้ความรู้สึกต่างกัน
มาขยายความคำว่าเราเป็นคนขับรถบัสกันนิดหนึ่งค่ะ ว่าเป็นการเปรียบเทียบให้เห็นว่าเราต้องรับผิดชอบ การคิดและการตัดสินใจของตัวเอง จะไปโทษคนอื่น และเรื่องราวที่เกิดขึ้นภายนอกเสมอไปไม่ได้ เช่น ทำไมคนนั้นเป็นอย่างงั้น ทำไมการเมืองเป็นอย่างนี้ ทำไมครอบครัวเราไม่ได้ดังใจ ถ้าเราเริ่มที่จะเชื่อหลักการที่ว่า ชีวิตเราเราต้องเป็นคนรับผิดชอบแล้ว เราก็จะมีแนวทางในการใช้ชีวิตที่แตกต่างออกไป เพราะว่าถ้าเราไม่ควบคุมชีวิตตัวเอง เราก็จะเป็นผู้โดยสารของรถบัส แล้วเราก็จะโทษคนนั้น คนนี้ ว่าทำไมไปผิดทางหรือขับเร็ว ขับช้า ทำไมเอาคนนั้นขึ้น เอาคนนั้นลง แต่ถ้าเราเป็นผู้ควบคุมชีวิตของเราเอง เราก็จะไม่โทษสถานการณ์ต่างๆ
มีการใช้คำเปรียบเทียบว่าคนชอบที่จะใช้สถานการณ์ภายนอกมากำหนดชีวิตตัวเอง เช่น เวลาที่คนเสียชีวิตมากที่สุดคือ เก้าโมงเช้า วันจันทร์ เพราะว่าคนที่ไม่ชอบงานที่ตัวเองทำ เมื่อถึงเวลากลับไปทำงานเช้าวันจันทร์เลยคิดถึงความเลวร้ายต่างๆ และบางคนถึงคิดอยากจะตายเลยทีเดียว ทั้งนี้เพราะว่าคนที่คิดแบบนี้เป็นคนที่ไม่ใช่คนขับรถบัส ไม่ใช่คนที่ควบคุมชีวิตตัวเอง และเมื่อคิดว่าชีวติไม่มีทางเลือกก็ทำให้จะตายได้
ความเป็นจริงก็คือว่า ไม่ว่าคนเราจะเป็นหญิงหรือชาย เป็นคนรวยหรือคนจน มันเป็นพลังงานที่เราขับเคลื่อนชีวิตเรานั่นเอง ถ้าเราสังเกตุดีๆ เวลาที่เราอยู่กับคนที่เขามีความสุข เราจะเห็นพัฒนาการความคิดของเขา และถ้าเราอยากเป็นแบบเขา ก็วนกลับมาที่ตัวเรา ว่าไม่มีใครเปลี่ยนความคิดและทัศนคติเราได้เลย มีแต่ตัวเราเท่านั้นที่เปลี่ยนได้ ถ้าเราไม่มีความสุขในการใช้ชีวิต อย่าลืมว่าเราเองเราเลือกได้นะคะว่าเราจะเอาอย่างไรกับชีวิต
ในเรื่องของการเป็นเจ้าของชีวิตของตัวเอง ในการเลือกเส้นทางการเดินทาง การเป็นคนขับรถของตัวเอง ให้ถามตัวเอง 3 ข้อถึงวิสัยทัศน์ หรือภาพที่เรามองเห็นตัวเองใน 3 ด้านต่อไปนี้
1. My vision for my life (including my health) is คือวิสัยทัศน์ที่เรามองเห็นเกี่ยวกับตัวเรา รวมถึงสุขภาพของเรา
2. My vision for my work, career, job, and team is วิสัยทัศน์ที่เรามองเห็นเรื่องของการงาน การเงิน การทำงาน และเพื่อนร่วมงาน ที่อยู่นอกตัวเราและนอกครอบครัวเรา
3. My vision for my relationship and family is ถัดจากตัวเรา ถัดจากเพื่อนร่วมงาน เรากลับมาอยู่กับคนที่บ้าน จะเป็นคนใกล้ตัวที่สำคัญที่สุด เช่น เป็นพี่ เป็นน้อง เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นภรรยา เป็นลูก ฯลฯ
อ่านแล้วจับจิตใจเราไหม จับใจ (ความ) ได้อย่างไร แล้วนำไปใช้กันนะคะ
Comments