กฎข้อที่ 9 ของรถบัสพลังบวกเป็นการย้ำเตือนให้เราจำได้ว่า เราจะไปไหน และไปเพื่ออะไร โดยนอกเหนือจาก การเป็นรถบัสที่มีชีวิตชีวา มีการชื่นชมกัน มีการขอบคุณกันแล้ว เราต้องไม่ลืมว่า แล้วเราจะไปไหน? และมีเป้าหมายในการใช้ชีวิตหรือการเดินทางเพื่ออะไร?
ในการออกเดินทางไป ณ ที่ใดที่หนึ่ง (ที่นั้นๆ อาจจะใหม่ ไม่คุ้นเคย) มันจะมี 2 คํามาเกี่ยวข้อง คําแรกคือคําว่า Fear ที่แปลว่าความกลัวนั่นเอง และคําที่สองก็คือคําว่า Faith ที่แปลว่าความเชื่อมั่นความศรัทธานั่นเอง
ในเรื่องของ Fear หรือความกลัวนั้น ให้ทำใจไว้เลยว่ามันจะมาแน่นอน ความกลัวอาจไม่ได้มาในรูปแบบของการรักตัว กลัวตาย แบบกลัวจนตัวสั่นงันงก แต่เป็นการกลัวแบบแอบแฝง มาในรูปแบบของ ความไม่มั่นใจในตัวเอง เมื่อเราเจอปัญหา เจอสิ่งที่ไม่คาดเดา หรือบางครั้งยังไม่เจออะไร แต่ไปไม่ถึงเป้าหมายสักที ทำให้เกิดความกังวล เหล่านี้คือรูปแบบของความกลัวด้วยเช่นกัน
ในระหว่างเส้นทางเดินของชีวิต เรามักจะมีคําถาม ถามตัวเองว่า What if… แปลว่า จะเกิดอะไรขึ้นถ้า…ใจเราจะคิดกังวลไปก่อนล่วงหน้าแล้วว่า จะเกิดอะไรขึ้น ถ้า…เขาไม่ตอบรับ ถ้า…เขาไม่เห็นด้วย ถ้า….คนไม่เห็นงาม ถ้า…คนต่อต้านความรู้สึกเหล่านี้ จะทําให้เราหยุดการเดินทางตามเป้าหมายได้ ด้วยความไม่มั่นใจ
ฉะนั้นถึงต้องตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนว่า purpose หรือเหตุผลของจุดหมายที่เราจะไปคืออะไร?
ยกตัวอย่างว่ากรณีที่คนขับรถโดยไม่มีเป้าหมาย มันก็จะเหมือนรถที่ขับไปโดยไม่มีระบบ GPS (global positioning system) นั่นเอง เป้าหมายคือการตั้งใจว่า เราจะไปที่ไหน? แล้วก็ขับไปตามเส้นทางนั้น สิ่งที่จำเป็นพอๆ กัน คือจุดมุ่งหมายหรือเหตุผลที่จะไปตรงนั้นยิ่งสำคัญยิ่งกว่า คือไปเพื่ออะไร?
ซึ่งในแง่ของความเชื่อ เชิงจิตวิญญาณ ความเชื่อ และความศรัทธา เขาเสนอว่า อย่างน้อยก็ให้มี ระบบพระเจ้านำทางก็ยังดี (God positioning system) โดยให้เชื่อในสิ่งที่สูงส่งกว่าเรา ซึ่งอาจจะเป็นพระเจ้า หรือสิ่งที่เป็น อํานาจสูงสุดที่เราเคารพนับถือ
ดังนั้นสิ่งที่มากับความกลัว Fear คือความศรัทธา Faith ที่แม้ว่าเราจะกลัว แต่เราก็เชื่อและศรัทธาว่า เราจะเข้าไปสู่สิ่งที่ดี ให้มุ่งไปที่คําว่า a leap of faith มุ่งหน้าไปด้วยความศรัทธาอย่างแรงกล้า ดีกว่า a leap of fear การมุ่งไปด้วยกลัวอย่างรุนแรง ตัวนี้น่าจะเป็นการเล่นคําให้จำได้ดี
เรื่องของการเดินทางที่มีเป้าหมาย และมีป้าประสงค์อยางชัดเจนว่าเราจะไปไหน และจะไปทำอะไร ถ้าเปรียบเป็นน้ำมันรถ มันเหมือนว่าน้ำมันหรือแรงดึงดูดใจจะไม่เคยแห้งและไม่เคยหมด
แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เราไม่มีเป้าหมายหรือเป้าประสงค์ที่ชัดเจนว่าเราจะไปไหนและไปเพื่ออะไร เวลาเราเจออะไร เราก็จะมองเห็นแต่ปัญหา จะรู้สึกว่ามันเหนื่อย และเบื่อเร็ว เหนื่อยหน่ายจนไม่อยากไปต่อ
ซึ่งการเห็นภาพเหล่านี้ บางครั้งเราจะไม่สามารถทำให้ลูกรถหรือผู้โดยสารเห็นด้วย หรือเห็นเหมือนกับเราในภาพใหญ่ ภาพรวมได้ตลอดเวลา
ดังนั้นในฐานะที่เป็นคนขับรถบัส หรือผู้นำทางความคิด เราจำเป็นต้องฝึกมองภาพใหญ่ และเป้าสุดท้ายไว้ให้ชัดเจนตลอดเวลา จะได้ไม่หลงทาง ไม่หมดกําลังใจ และก็อย่าลืมว่าให้เอาเป้าหมาย เอาวัตถุประสงค์ที่เราจะไป มาแลกเปลี่ยน มาบอกเล่าให้กับทีมงาน ลูกรถ หรือผู้โดยสารฟังไปด้วยกันนะคะ